สตม.แกะรอยรวบมังกรแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุลสัญชาติ ท้าทายไบโอเมตริกซ์หนีคดีหมื่นล้าน

จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิด ที่เกี่ยวกับคนเข้าเมืองและชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร หรือเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลัก ของ สตม. โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

สตม.แกะรอยรวบมังกรแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุลสัญชาติ ท้าทายไบโอเมตริกซ์หนีคดีหมื่นล้าน

พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผู้บังคับการ ตรวจคนเข้าเมือง 1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รองผู้บังคับการฯ รับผิดชอบงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ได้สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1, พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รองผู้กำกับการสืบสวนฯ พร้อมชุดปฏิบัติ นำโดย พ.ต.ท.ทวีทรัพย์ ชัยภูมิ และ พ.ต.ท.ธงไทย ไพเราะ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 เรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว หลังได้รับข้อมูลจากสายลับว่า มีเป้าหมาย บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ชื่อนายจางเหว่ย (นามสมมติ) ได้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือกระทำความผิดอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน

สตม.แกะรอยรวบมังกรแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุลสัญชาติ ท้าทายไบโอเมตริกซ์หนีคดีหมื่นล้าน

หลังได้รับสั่งการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ได้นำข้อมูลโดยเฉพาะใบหน้าของเป้าหมาย มาตรวจสอบกับฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์ พบความน่าสงสัยคือ ข้อมูลเชิงไบโอเมตริกซ์ของ features ต่างๆในใบหน้าของนายจางเหว่ย ไปสอดคล้องตรงกันกับบุคคลต่างด้าวอีกคนหนึ่ง คือ นายตู้หนาน สัญชาติวานูอาตู ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆในแถบโอเชียเนีย ชุดสืบสวนลงความเห็น ร่วมกันว่า นายจางเหว่ย กับนายตู้หนาน เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงได้แบ่งหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และมอนิเตอร์ระบบการแจ้งที่พักอาศัยและระบบการขอต่อวีซ่าของคนต่างด้าว ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดอนุญาตของนายตู้หนาน ไม่พบว่ามีการยื่นคำร้องขออยู่ต่อในราชอาณาจักรแต่อย่างใดนอกจากนี้ชุดสืบสวนยังพบความเคลื่อนไหวโดยมีการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์ จึงนำกำลังไปตรวจสอบและเฝ้าสังเกตการณ์ โดยกระจายกำลังบริเวณ โถงล็อบบี้และหน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่คนต่างด้าวระมัดระวังตัว และไม่ยอมลงจากห้องดังกล่าว แต่จะใช้วิธีสั่งอาหารขึ้นไป เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังในการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

สตม.แกะรอยรวบมังกรแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุลสัญชาติ ท้าทายไบโอเมตริกซ์หนีคดีหมื่นล้าน

จนกระทั่ง วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 14.30 น.ที่ผ่านมาความอดทนของเจ้าหน้าที่ก็บรรลุผล หลังเจ้าหน้าที่พบบุคคลต่างด้าวรายหนึ่ง มีตำหนิรูปพรรณตรงกับที่สายลับให้ข้อมูล เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวและแสดงบัตรประจำตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง คนต่างด้าวซึ่งพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาจีน ให้การในเบื้องต้นว่าตนไม่ใช่คนจีนและหนังสือเดินทางของตนหาย ต่อมาให้การกลับมาว่าจริงๆแล้วตนเป็นคนสัญชาติวานูอาตู พร้อมแสดงรูปถ่ายหนังสือเดินทางวานูอาตู เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่าผู้ถูกจับชื่อ นายตู้หนาน อายุ 30 ปี สัญชาติวานูอาตู ประเภทวีซ่านักท่องเที่ยว (60 วัน) ปัจจุบันการอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบแล้วและได้แจ้งให้ทราบถึงการถูกจับกุมแล้ว จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ถูกจับทำบันทึกจับกุมส่ง พงส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเกี่ยวกับหนังสือเดินทางวานูอาตู ที่นายจางเหว่ย อ้างว่าทำหายไป เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานข้อมูลกับองค์กร บังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ จนได้ข้อมูลยืนยันว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว เป็นบุคคลเดียวกับนายจางเหว่ย (นามสมมติ) บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2567 ได้ร่วมกับพวก ก่อคดียักยอกเงินจากบริษัทก่อสร้างชื่อดังในมณฑลซานตง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท จึงได้ใช้ระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ตรวจเปรียบเทียบ ผลการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่ง สตม.จะได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อนำตัวนายจางเหว่ยไปดำเนินคดีตามกฎหมาย

สตม.แกะรอยรวบมังกรแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุลสัญชาติ ท้าทายไบโอเมตริกซ์หนีคดีหมื่นล้าน

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม.ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่อง มาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองและระบบไบโอเมตริกซ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมไปถึงเบาะแสสำคัญ จากการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าวเข้ามาในระบบของพี่น้องประชาชน จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการจับกุมคนร้ายข้ามชาติรายสำคัญที่หลบหนีคดีและใช้ประเทศไทยเป็นที่ซ่อนตัว ดีงนั้นจึงขอฝากประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนผ่านผู้สื่อข่าวว่า การแจ้งที่พักอาศัยต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกรณีคนต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งเจ้าบ้าน เจ้าของ หรือผู้ครอบครองดูแลเคหสถาน รวมไปถึงผู้จัดการโรงแรม จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญ นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนท่านใด พบเห็นเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยตรง หรือที่สายด่วนหมายเลข 1178 ตลอด 24 ชม.

ผู้สื่อข่าวนครบาล ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงาน

Leave a Comment