หมอเจด เตือน แบคทีเรียกินเนื้อคน แค่แผลเล็กก็อันตรายถึงชีวิตได้

ต้องบอกเลยว่ากลายเป็นโพสต์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ เมื่อ นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ หมอเจด เพื่อเตือนภัยร้ายแรงของ “แบคทีเรียกินเนื้อคน” หรือโรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) ซึ่งสามารถลุกลามอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แม้เริ่มต้นจากแผลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

การเตือนภัยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวชายวัย 38 ปี เสียชีวิตบนรถทัวร์สายโคราช-เชียงใหม่ โดยผลชันสูตรสรุปว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและข้อสงสัยในหมู่ประชาชน นพ.เจษฎ์ ได้อธิบายรายละเอียดของโรคนี้ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความร้ายแรง สัญญาณเตือน กลุ่มเสี่ยง วิธีการรักษา และการป้องกันตนเอง

โดยทาง นพ.เจษฎ์ อธิบายว่า โรคนี้มีชื่อทางการแพทย์ว่า Necrotizing fasciitis หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เนื้อเน่า” ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียชนิด Streptococcus pyogenes ที่ปกติพบได้ทั่วไปในลำคอหรือผิวหนัง เมื่อแบคทีเรียชนิดนี้มีโอกาสเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลโดนของมีคม แผลจากน้ำสกปรก หรือแม้แต่แผลเล็กๆ อย่างหนวดกุ้งตำ เชื้อจะปล่อยสารพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะเนื้อตาย

ความน่ากลัวของโรคนี้คือการลุกลามที่รวดเร็วมาก บางรายอาจพบว่าเนื้อเยื่อบริเวณแผลเริ่มดำ เปื่อย และเน่าในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด จะนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง ความดันโลหิตตก ช็อก และเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น

นอกจากนี้ นพ.เจษฎ์ เน้นย้ำว่า โรคนี้มักเริ่มต้นด้วยอาการที่ดูไม่รุนแรง แต่ลุกลามอย่างรวดเร็ว หากพบสัญญาณดังต่อไปนี้ ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที:

1. แผลบวมแดงร้อน และเจ็บผิดปกติ (เจ็บปวดรุนแรงเกินกว่าแผลทั่วไป)

2. เริ่มมี ตุ่มน้ำใสหรือน้ำเลือด และผิวหนังบริเวณรอบแผลเริ่มเปลี่ยนเป็น สีคล้ำหรือดำ

3. มี ไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน และรู้สึกอ่อนเพลีย

4. มีอาการ เหงื่อแตก ใจเต้นแรง เป็นลมง่าย หรือรู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นไข้ใหญ่

5. แผลลุกลามอย่างรวดเร็ว ขยายวงกว้างขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

แม้โรคนี้จะไม่พบบ่อยนัก แต่กลุ่มเสี่ยงมีมากกว่าที่คิด นพ.เจษฎ์ ระบุว่าผู้ที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:

1. ผู้ที่มีบาดแผล ไม่ว่าจะจากการถูกแมลงกัด ของมีคม หรืออุบัติเหตุเล็กน้อย

2. ผู้ป่วยเบาหวาน โรคตับ มะเร็ง วัณโรค หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

3. ผู้ที่ใช้ยา Steroid หรือยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน

4. ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หนัก ใช้ยาเสพติด หรือมีร่างกายอ่อนแอเรื้อรัง

5. ผู้ที่ทำงานหรือสัมผัสกับน้ำ ดิน โคลน เช่น ชาวนา ชาวสวน หรือนักท่องเที่ยวที่สัมผัสกับน้ำทะเลที่มีแผลเปิด

มีรายงานผู้ป่วยที่ไปทะเลแล้วโดนเปลือกหอยบาดเพียงเล็กน้อย แต่เชื้อลุกลามจนต้องตัดขา นอกจากนี้ยังมีการระบาดของโรคนี้ในญี่ปุ่นจากแผลเล็กๆ ที่สัมผัสกับน้ำทะเล น้ำจืด หรือน้ำเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ในประเทศไทยเช่นกัน โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด หรือน้ำขังตามท้องนา

ไม่เพียงเท่านั้น นพ.เจษฎ์ ยังบอกอีกว่า หากเป็นแล้วต้องรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด โอกาสเสียชีวิตจะสูงมาก วิธีการรักษาหลักๆ ได้แก่:

1. รีบผ่าตัดเอาเนื้อตายออกให้หมด เพื่อหยุดยั้งการลุกลามของเชื้อ

2. ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด ในปริมาณมากและหลายชนิดพร้อมกัน

3. ดูแลภาวะช็อกและระบบไหลเวียนโลหิต ของผู้ป่วย

4. ในบางราย อาจจำเป็นต้อง ตัดแขนหรือขา เพื่อรักษาชีวิตไว้

สำหรับการป้องกัน นพ.เจษฎ์ ชี้ว่าโรคนี้ไม่ได้ติดต่อจากคนสู่คน แต่เกิดจากการที่แบคทีเรียเข้าสู่บาดแผล ดังนั้นการป้องกันจึงเริ่มต้นจากการ ไม่ประมาทกับแผลเล็กๆ น้อยๆ ดังนี้:

1. หากมีแผล ให้ ล้างแผลทันทีด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ

2. ทาเบตาดีนหรือยาฆ่าเชื้อ บริเวณแผล

3. ปิดแผลให้ดีด้วยอุปกรณ์ที่สะอาด และเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน

4. หลีกเลี่ยงการลงสระว่ายน้ำ อ่างน้ำสาธารณะ หรือการแช่น้ำ จนกว่าแผลจะหายสนิท

5. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของแผล เช่น บวม แดง เจ็บมาก มีตุ่มน้ำ หรือมีสีคล้ำ หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบพบแพทย์

6. ผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ควรดูแลแผลด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด

นพ.เจษฎ์ ทิ้งท้ายว่า “แบคทีเรียกินเนื้อคน” อาจฟังดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ “การไม่รู้ ไม่สนใจแผล และไปหาหมอช้าเกินไป

Leave a Comment