วันที่ 25 พ.ค.2568 ที่กองบังคับการปราบปราม น.ส.บวรรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป. และ พ.ต.ท.อัคนี ณ บางช้าง สว.กก.4 บก.ป. เพื่อขอมอบตัวตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 296/2568 ลงวันที่ 18 มี.ค. 2568 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ,เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยที่รู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำผิด ฯ
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566 ผู้เสียหายรายหนึ่งรับโทรศัพท์จากคนร้าย อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทขนส่งเอกชน แจ้งว่ามีพัสดุต้องสงสัยที่ภายในบรรจุพาสปอร์ตของชาวเมียนมา สมุดบัญชีธนาคารหลายรายการ รวมถึงบัญชีธนาคารที่มีชื่อของผู้เสียหายอยู่ด้วย หลังจากนั้นก็มีคนร้ายโทรศัพท์ปลอมเป็นสายด่วน 191 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า ผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน
โดยเสนอให้เพิ่มเพื่อนไลน์ ซึ่งใช้ชื่อและตราหน่วยงานราชการปลอม พร้อมวิดีโอคอลใส่เครื่องแบบตำรวจ อ้างข้อกฎหมาย และข่มขู่ให้โอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ผู้เสียหายจึงโอนเงินไปถึง 3 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 150,000 บาท เมื่อมาทราบภายหลังว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความ
ต่อมาจากการสืบสวน เจ้าหน้าที่พบเส้นการเงินโยงไปถึงหลายบัญชี หนึ่งในนั้นเป็นชื่อของน.ส.บวรรัตน์ ผู้ต้องหารายนี้ ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องหลายราย จนเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 68 ที่ผ่านมามีการเข้าจับกุม นายกฤตธี (สงวนนามสกุล) สามีของ น.ส.บวรรัตน์ ตามหมายจับคดีดังกล่าวที่ จ.อุทัยธานี
ขณะจับกุม น.ส.บวรรัตน์ ร้องขอให้ตำรวจจับตนเองไปด้วย อ้างว่า ตนน่าจะมีหมายจับ และไม่อยากห่างสามี แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วยังไม่พบว่ามีหมายจับ จึงต้องปล่อยตัวไป
ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า น.ส.บวรรัตน์ ถูกออกหมายจับจริง และทราบว่าย้ายมาพักอยู่ใกล้ ๆ เรือนจำที่สามีถูกคุมขังอยู่ด้วย จนกระทั่งพี่สาวของ น.ส.บวรรัตน์ ทราบว่าน้องสาวมีหมายจับติดตัว จึงติดต่อพาเข้ามอบตัวตามความประสงค์ของ น.ส.บวรรัตน์ ที่ต้องการจะติดคุก และออกจากคุกมาพร้อมๆ กับสามีคือนายกฤตธี สอบสวน ผู้ต้องหานั้นไม่ยอมให้การใดๆทั้งสิ้น จึงควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป
