วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายวิทยา สุวรรณสิทธิ์ นายอำเภอปะทิว ได้รับแจ้งจากนายประเดิมชัย พัธการ ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร ว่ามีลูกบ้านได้สั่งสินค้ากระดาษทิชชูเปียกจากแอปพลิเคชัน แต่เมื่อรับสินค้าและเปิดกล่องพัสดุดูพบภายในเป็นลำโพงและมีกระดาษฟอยล์ห่อเป็นก้อนลักษณะคล้ายห่อยาบ้าซุกอยู่ในลำโพง จึงเดินทางไปตรวจสอบ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบ นายประเดิมชัย พัธการ ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 พร้อม นางดา (นามสมมุติ) ลูกบ้านยืนรอพร้อมกล่องพัสดุสีน้ำตาลขนาดกลางวางอยู่บนพื้นหน้าบ้าน โดยกล่องพัสดุระบุเป็นของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง และบนกล่องระบุผู้ส่งคือกานดา ประดิษฐ์ชอบ และผู้รับชื่อ นางดา สำหรับลักษณะการบรรจุสินค้า ทางบริษัทได้นำกล่องจำนวน 2 กล่องมาสวมติดกัน
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยกกล่องออกจากกัน พบภายในมีกล่องสีดำคาดแดงระบุเป็นลำโพงชื่อ BIG SOUND จำนวน 2 กล่อง และเมื่อยกขึ้นมาตรวจสอบพบบริเวณด้านหลังของลำโพงมีชุดเชื่อมต่อสายสัญญาณปิดหลอกไว้ จนมองเห็นกระดาษฟอยล์อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้ไขควงขันสกรูดึงฝาครอบลำโพงออก พบกระดาษฟอยล์เป็นก้อนวางเรียงในลำโพง นับได้จำนวน 40 มัด จึงได้ทำการเปิดกระดาษฟอยล์ออกตรวจดูพบยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้าแบบรูดปิดเปิด จำนวน 20 มัด มัดละ 2,000 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 40,000 เม็ด ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้เปิดฝาลำโพงอีกชิ้นออกดูพบไอซ์บรรจุอยู่ในห่อชาจีน วางเรียงอย่างดี จำนวน 2 ก้อน ก้อนละ 1 กก.รวม 2 กก.
จากการสอบถาม นางดา เล่าว่า ตนเองได้สั่งสินค้าเป็นทิชชูเปียกยกลัง 10 แพ็ก พร้อมกล่องพลาสติก ในราคา 169 บาท จากแอปฯ และวันนี้ช่วงบ่ายทางพนักงานส่งพัสดุได้นำพัสดุมาส่งให้ตนเองจำนวน 1 กล่อง และตนก็เซ็นรับเป็นที่เรียบร้อย แต่ตนเองรู้สึกแปลกเพราะดูทำไมมันหนัก จึงได้เปิดกล่องพัสดุดูหลังจากที่พนักงานส่งกลับไปแล้ว ก็พบกล่องกระดาษบรรจุอยู่ภายในจำนวน 2 กล่อง และภายในกล่องก็เป็นลำโพง ในใจครั้งแรกว่าถูกหลอกให้ซื้อของถูกแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาดูลำโพงบริเวณด้านหลังตู้แปลก ช่องสัญญาณเหมือนทำหลอกไว้ จึงให้แฟนมาดู ก็พบสิ่งผิดสังเกตเกรงว่าจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายจึงได้แจ้งทางผู้ใหญ่บ้านมาช่วยดู ซึ่งเชื่อว่าเป็นยาเสพติดจึงได้แจ้งนายอำเภอปะทิวและตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว
ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพร้อมตำรวจ นำยาบ้าและไอซ์ มาห้องสืบสวน สภ.ปะทิว พร้อมเชิญตัวพนักงานส่งพัสดุ และผู้จัดการสาขาฯ มาสอบปากคำ ทราบว่าสินค้าดังกล่าวได้ส่งตรงมาจากต้นทางที่กรุงเทพฯ และจะส่งไปที่จุดกระจายสินค้าที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนสินค้าจะถูกส่งมาให้ลูกค้าปลายทางที่ จ.ชุมพร ซึ่งตนไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในนั้น เพราะตนรับสินค้าปลายทางมีหน้าที่ส่งอย่างเดียว จึงไม่รู้ว่าสินค้าไหนถูกผิดกฎหมายอย่างไร แต่ขอให้พัสดุนั้นถึงมือผู้รับตามใบสั่ง และเคสนี้มีชื่อที่อยู่ผู้รับตรงกันถือว่าจบงาน และเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก็เคยเจอมาแล้วเช่นกัน ก็ต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่จะสืบสวนขยายผลอย่างไร ทางบริษัทพร้อมให้ความร่วมมือตลอด
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอรายชื่อผู้รับพัสดุจากบริษัททั้งหมดไว้เพื่อตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยที่เชื่อว่าหรืออาจมีพฤติกรรมที่ทางตำรวจมาประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อนำไปสู่การขยายผลการจับกุมผู้กระทำความผิดรายนี้ต่อไป