กรณีพันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำความเห็นแย้งเห็นควรฟ้อง นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสเเซม , น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้อง ทั้ง 2 รายในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ , ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจฯ และร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป
8 เม.ย. 2568 นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า เมื่ออธิบดีดีเอสไอมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทััง 2 คน ส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1
หลังจากนี้หากอัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้อง ก็จะนัดนำตัวผู้ต้องหาไปยื่นฟ้องต่อศาล เเต่หากชี้ขาดไม่ฟ้องคดีก็จะยุติเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งขั้นตอนที่ว่ากฎหมายไม่ได้เขียนกำหนดระยะเวลาในการพิจารณา เเต่ก็จะดูเรื่องอายุความในคดี
เมื่อถามว่าหนังสือจากดีเอสไอมาถึงอัยการสูงสุดเเล้วหรือไม่ เเละเหตุผลที่อัยการคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง
นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า จากการตรวจสอบทราบว่า ทางดีเอสไอได้ส่งความเห็นแย้งมายังสำนักงานคดีชี้ขาดอัยการสูงสุด ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา อยู่ระหว่างพิจารณาส่งกลับมายัง อัยการสูงสุด ชี้ขาดตามขั้นตอน ในส่วนเหตุผลที่ก่อนหน้านี้อัยการคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมองว่าพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง ส่วนรายละเอียดมากกว่านี้ยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากคดียังต้องส่งอัยการสูงสุดพิจารณาอีก ความเห็นยังไม่สิ้นสุด
เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดอีกท่านกล่าวเพิ่มเติมถึงเหตุที่อัยการคดีพิเศษ สั่งไม่ฟ้องบอสมิน บอสเเซมว่า เพราะพยานหลักฐานรวมถึงสัญญาจ้างระบุว่า ทั้ง 2 เป็นเพียงพรีเซนเตอร์ เเละการขึ้นเวทีพูดในลักษณะขายสินค้า ไม่ได้ชักชวนคนมาสมัคร แตกต่างจาก นายกันต์ กันตถาวรกันต์ หรือ บอสกันต์ ซึ่งชวนคนมาสมัคร เเละในสัญญาจ้าง เเม้ระบุเป็นผู้บริหาร เเต่ก็เป็นเรื่องขายโปรดักส์ ไม่ได้เป็นเรื่องชวนคน มาสมัคร
ขณะที่เเหล่งข่าวจากดีเอสไอ ระบุว่า คดีนี้ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเเย้งทุกข้อหา เพราะเชื่อว่าสิ่งที่คณะทำงานพิจารณาจากพยานหลักฐานมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องถูกต้องเเล้ว ที่อัยการคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง เพราะว่าจากพยานหลักฐานไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำผิด เเละทััง 2 คนมีสัญญาเเละทำงานได้เงินตามสัญญานั้น ทางอธิบดีดีเอสไอไม่เห็นด้วยจึงทำความเห็นเเย้งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด
ส่วนเหตุผลที่อธิบดีดีเอสไอเห็นเเย้ง เนื่องจากมองว่าจากการสืบสวนสอบสวนตามเดิมว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 มีหลักฐาน ไปเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งได้รับค่าจ้าง ค่าตอบเเทนที่สูง เเม้จะอ้างว่ารับจ้างเป็นเเค่พรีเซนเตอร์ เเต่กลับมีการดำเนินการมากกว่าปกติขึ้นเวทีบรรยายอวดอ้าง เป็นการโน้มน้าวชักจูงจนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก น่าจะรู้เห็นถึงเเผนธุรกิจมากกว่าเเค่เป็นพรีเซนเตอร์ เเละน่าจะรู้ว่าดิไอคอนเป็นเเชร์ลูกโซ่ตั้งเเต่เเรก จึงเชื่อในความเห็นของพนักงานสอบสวนดีเอสไอที่เห็นควรสั่งฟ้อง เเละทำความเห็นเเย้งไป โดยยื่นไปที่สำนักงานอัยการสูงสุดเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการทำความเห็นครั้งนี้เป็นการพิจารณาใช้ดุลพินิจของอธิบดีดีเอสไอ ไม่ได้เป็นคณะทำงานเเละไม่ได้มีอัยการมาร่วมทำความเห็น
รายงานข่าวระบุอีกว่า ที่อธิบดีดีเอสไอยืนยันให้ฟ้องคดีนี้ เพราะประชาชนที่โดนหลอกลงทุน เชื่อมั่นในบอสเเซมกับบอสมินว่า เป็นระดับผู้บริหารในบริษัทดิไอคอน ก็เลยมาลงทุนซื้อของกับบริษัทนี้ บทบาทไม่ต่างกับบอสกันต์ เเละนอกจากนี้คดีดิไอคอนยังมีสำนวนที่ 2 ที่เป็นคดีนอกราชอาณาจักรอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยผู้ต้องหาเป็นกลุ่มคนชุดเดียวกับสำนวนเเรก ถ้าไม่ทำความเเย้งไปคดีที่ 2 นี้เเจ้งข้อหาบอสมินกับบอสเเซมไม่ได้
ข้อสำคัญอีกประการคดีนี้เป็นคดีสำคัญ คดีที่ดีเอสไอสั่งฟ้อง เเต่เดิมก็เป็นความเห็นของอธิบดีดีเอสไอ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเห็นสมควรฟ้องไปเเล้ว ก็ไม่มีเหตุกลับคำสั่งตัวเอง