วันเสาร์ที่ 15 มี.ค.68 ที่ บริเวณชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ บช.สอท. (เมืองทองธานี) นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท และ พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์ล่าไม่ถอยคอยไม่เลิก ตามรวบ 6 ไทยเทาถูกส่งกลับจากปอยเปต หนีหมายจับพนันออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติ
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.68 ทางรัฐบาลกัมพูชาได้เปิดปฏิบัติการบุกทลายแหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และได้จับกุมคนไทยในตึกภูมิตาสวน ต.ปอยเปต อ.โอจโรว จ.บันเตียเมียนเจย และ วันที่ 23 ก.พ.68 ได้จับกุมคนไทยในตึก K2 ต.ปอยเปต อ.โอจโรว จ.บันเตียเมียนเจย รวมทั้งสิ้น จำนวน 119 คน
ต่อมา วันที่ 1 มี.ค.68 พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. ร่วมกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พร้อมตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันรับตัวคนไทยกลุ่มดังกล่าวเข้าศูนย์คัดกรอง NRM ณ ร12/3 พัน 3 จ.สระแก้ว เพื่อคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์
ต่อมา วันที่ 3 ก.พ.68 ตำรวจไซเบอร์ได้ขออำนาจศาลออกหมายจับขบวนการดังกล่าวไว้ทั้งหมด จำนวน 102 คน เป็นคนไทยจำนวน 100 คน และหัวหน้าแก๊งชาวจีนอีก จำนวน 2 คน โดยจับกุมและดำเนินคดีไปแล้วจำนวน 93 ราย ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็น อั้งยี่, ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือ ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ในขณะที่คนไทยอีก 7 รายที่เหลือได้ถูกจับกุมโดยตำรวจภูธรภาค 2 ไปแล้วในความผิดคดีอื่นตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทย
ส่วนอีก 19 คนที่เหลือ แบ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี จำนวน 4 คน ในขณะที่อีก 15 คนที่เหลือซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำงานในอาคาร K2 ชั้น 9 และมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ แต่ยังไม่พบพยานหลักฐานในขณะนั้น
ต่อมา กก.วิเคราะห์ข่าวเละเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.2 ได้สืบสวนหาพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดของกลุ่มคนไทยที่เหลืออีก 15 ราย รวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง จนพบพยานหลักฐานเป็นข้อมูลในโทรศัพท์ มือถือของคนไทยทั้ง 15 ราย ผนวกกับการซักถามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ข้อมูลสอดคล้องกัน ทำให้ทราบว่า คนไทย 15 คนดังกล่าว มีหน้าที่จัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ ประเภทไฮโล และไพ่ป๊อกเด้งหรือ ไพ่แปดเก้า โดยแบ่งเวลาทำงานกับคณะผู้ร่วมงานอื่น และยังได้รับเงินเดือนพร้อมที่พักอาศัยจากนายจ้าง
โดยเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่ดังกล่าวได้เปิดให้คนไทยเล่นและมีการสื่อสารผ่านกลุ่มไลน์ จากการตรวจสอบ โดยตำรวจไซเบอร์ พบว่าสามารถเข้าเล่นพนันในประเทศไทยได้จนได้เสียเงินกันจริง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การพนันฯ พ.ศ.2478 โดยความผิดนั้นเกิดขึ้นทั้งสองรัฐ จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกัน และปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556
พนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เหลือทั้ง 15 รายจากศาล ในความผิดฐาน “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันโดยผิดกฎหมาย” โดยขณะนี้ตำรวจไซเบอร์สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าวได้แล้ว จำนวน 5 ราย และอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวอีก 10 ราย
นอกจากนี้ กก.3 บก.สอท.2 ยังได้ติดตามจับกุมตัว นายธนกิตติ์ อายุ 22 ปี ได้ที่บริเวณริมถนนหน้าค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่งนายธนกิตติ์ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา 7 รายที่โดนดำเนินคดีโดยตำรวจภูธรภาค 2 ไปเรียบร้อยแล้วในคดีอื่น แต่ภายหลังสิ้นสุดการพิจารณาคดีดังกล่าว ได้หลบหนีหมายจับในความผิดเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติของตำรวจไซเบอร์
สำหรับ นายธนกิตติ์ นั้น ตำรวจไซเบอร์พบหลักฐานว่าเป็นหนึ่งในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในตึกภูมิตาสวน เมืองปอยเปต ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงคนไทยเกี่ยวกับ Romance Scam, หลอกลวงข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้โอนเงิน, ชักชวนหลอกลงทุนผ่านแพลตฟอร์มปลอม และเว็บไซต์พนันออนไลน์อีกด้วย
ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังคงเร่งติดตามผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าวที่ยังหลบหนี และยังคงเพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนไทยในทุกมิติ ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อความผาสุกของพี่น้องประชาชนต่อไป
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน