วันนี้ 19 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการสกัดกั้นผ่านปฏิบัติการ Seal Stop Save เพื่อป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายทุกชนิดตามแนวชายแดน ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็น 1 ในจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา 371 กิโลเมตร มีช่องทางเข้าออกตามธรรมชาติ 43 ช่องทาง
ที่ผ่านมาหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ได้สนธิกำลังเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามขบวนการขนแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายมาแล้วหลายคดี โดยเฉพาะในพื้นที่ อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ และ อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งขบวนการดังกล่าวมีการวางแผนทำเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อยากต่อการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ บางคดีขณะเจ้าหน้าที่ไล่ติดตามไปนั้น ปรากฏว่ารถยนต์ที่ใช้ขนกลุ่มต่างด้าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยเจ้าหน้าที่ไม่ทราบทิศทางที่ใช้ในการหลบหนี จึงเกิดการตั้งข้อสงสัยขึ้นว่าในพื้นที่ที่รถขนแรงงานหายไปนั้นอาจจะมีแหล่งพักพิงที่เจ้าหน้าที่คาดไม่ถึง สิ่งที่เจ้าหน้าที่คาดคิดเอานั้นปรากฎว่าเป็นความจริง และเป็นสถานที่ที่ทุกคนนั้นคาดไม่ถึง
โดยช่วงเช้าวันที่ 18 มิ.ย.68 ที่ผ่านมานั้น พลตำรวจตรีคงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) พันตำรวจเอกภคพล สุชล ผกก.2 บก.ทล. พันตำรวจตรีโจ เสาร์ประโคน สว.ส.ทล.6 กก.2 บก.ทล.ได้สั่งการให้ ร้อยตำรวจเอกอำนาจ สีนวล รอง สว. ร้อยตำรวจตรีพีรธรรม หนุนุรัตน์ ร้อยตำรวจตรีสุรศักดิ์ จิตมณี ร้อยตำรวจโทนิกร สีเมือง รอง สว.(ป.) ส.ทล.6 กก.2 บก.ทล.ขับรถตรวจการณ์ออกตรวจตราไปตามถนนทางหลวงสาย 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทุกชนิด
ปรากฎพบรถยนต์ต้องสงสัยยี่ห้ออีซูซุ มิวเซเว่น สีขาว หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ขับไปตามถนนทางหลวงสาย 323 จากเขตอำเภอไทรโยค มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี ด้วยความเร็วสูง อีกทั้งสังเกตพบรถยนต์คันดังกล่าวมีลักษณะบรรทุกน้ำหนักผิดปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจึงติดตามไป จนกระทั่งเข้าเขตพื้นที่บ้านหนองจอก หมู่ 5 ตำบลแก่งเสี้ยน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจึงประสานมายังนายสมบูรณ์ แผนสมบูรณ์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี บูรณาการกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหาร ชุด ชุดปฏิบัติการข่าวกองกำลังสุรสีห์, เจ้าหน้าที่ ตำรวจ กก.5 บก.ปคม.เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป.เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดกกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ ตำรวจสภ.เมืองกาญจนบุรี และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันสกัดจับ
แต่ปรากฏว่ารถยนต์ต้องสงสัยได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงมอบหมายให้นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายฑรัท เหลืองสอาด ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมลงพื้นที่อีกทางหนึ่ง ซึ่งผลปรากฎว่าเจ้าหน้าที่พบรถยนต์คันดังกล่าวถูกนำเข้าไปจอดเอาไว้ภายในสำนักสงฆ์พุทธพรมปัญโย หมู่ที่ 5 ตำบลแก่งเสี้ยน อำเภอเมืองกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเข้าไปตรวจค้น พบรถยนต์คันดังกล่าวจอดหันท้ายชนท้ายกับรถยนต์กระบะแวนยี่ห้อโตโยต้า สีขาว หมายเลขทะเบียน กาญจนบุรี ลักษณะกำลังขนถ่ายต่างด้าวเปลี่ยนรถคันใหม่ โดยมีพระนพดล อายุ 50 ปี แสดงตัวเป็นผู้ดูแลสำนักสงฆ์ฯ มีพระรัตนพร อายุ 44 ปี อยู่ด้วย จากการตรวจค้นภายในรถไม่พบกลุ่มแรงงานแต่อย่างใด
ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นภายในห้องปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ พบกลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาหลบซ่อนตัวอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงจับกุมตัวเอาไว้ นับรวมกันได้ จำนวน จำนวน 34 คน เป็นชาย 20 คน หญิง 9 คน และเด็กเล็กเป็นชาย 5 คน
และนอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังสามารถจับกุมตัวนายมลชัย (ไม่มีชื่อสกุล)อายุ 25 ปี เป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน อาศัยอยู่ หมู่ 8 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ต้องหาที่เป็นคนขับรถนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาหลบซ่อนตัวภายในสำนักสงฆ์ดังกล่าวได้อีก 1 ราย ส่วนคนขับรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุแวนที่มารับกลุ่มแรงงานเห็นเจ้าหน้าที่เสียก่อนจึงไหวตัวหลบหนีไปได้ ทราบชื่อคือนายอาส ไม่มีนามสกุล ชาวมอญ อายุ 39 ปี อาศัยอยู่หมู่ 2 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี
โดยพระนพดล อายุ 50 ปี ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ ให้การยอมรับสารภาพว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนนั้นรู้เห็นด้วยทั้งหมดโดยตนเป็นผู้สั่งการและประสานงานให้คนขับรถนำพาต่างด้าวมาพักไว้ภายในสำนักสงฆ์ ก่อนที่จะจัดหาคนขับรถมารับต่อไปอีกทอดหนึ่ง ที่ผ่านมามีการนำพาแรงงานต่างด้าวมาพักคอนภายในสำนักสงฆ์มากว่ากว่า 20 ครั้ง แต่ละครั้งจะมีลูกศิษย์เป็นผู้ประสานมาให้ทราบล่วงหน้าว่าจะนำพากลุ่มต่างด้าวมาพักคอยที่สำนักสงฆ์ เมื่อทราบก็ได้จัดเตรียมสถานที่เอาไว้ให้ รอจนกว่าจะมีคนนำรถมารับไปทำงานพื้นที่จังหวัดชั้นในอีกทอดหนึ่ง
หลังจากพระนพดล ยอมรับสารภาพเจ้าหน้าที่จึงนิมนต์เจ้าคณะตำบลแก่งเสี้ยน มาทำพิธีสึกพระนพดล และพระรัตนพร ออกจากความเป็นพระ จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบปากคำเพิ่มเติมและคัดแยกกลุ่มแรงงานที่หอประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอเมืองกาญจนบุรี
ทั้งนี้จากการสอบปากคำกลุ่มแรงงานผ่านล่าม ทั้งหมดยอมรับสารภาพว่า พวกตนเดินทางมาจากหลายเมืองของประเทศเมียนมา โดยมารวมตัวกันที่เมืองพญาตองซู จากนั้นใช้ช่องทางธรรมชาติบริเวณบ้านบ่อญี่ปุ่นข้ามชายแดนเข้ามาฝั่งไทยในพื้นที่บ้านพระเจดีย์สามองค์ หมู่ 9 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี แล้วเดินเท้าลัดเลาะหลบด่านตรวจ เมื่อมาถึงจุดนัดหมายมีรถยนต์มารอรับอยู่แล้ว ขณะกำลังเปลี่ยนรถที่มาจอดรออยู่ภายในสำนักสงฆ์ดังกล่าว ก็สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่จึงวิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวภายในห้องปฏิบัติธรรม แต่สุดท้ายก็มาถูกจับกุมตัวเอาไว้ได้ ซึ่งพวกตนมีจุดหมายปลายทางไปทำงานที่ กรุงเทพฯ รวมถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร พังงา และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี บางรายไปประเทศมาเลเซีย โดยต้องจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้าคนละ 30,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางของแต่ละคน
หลังจากผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงนำอดีตพระนพดล ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ และนายมลชัย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี ดำเนินคดีในข้อกล่าวหา กระทำผิดฐาน “ซ่อนเร้น ช่วยเหลือ หรือช่วยด้วยประการใดๆแก่บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุม”
ส่วนต่างด้าวถูกดำเนินคดี ในข้อกล่าวหา กระทำความผิดฐาน“เป็นบุคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 30 ราย ส่วนอีก 4 ราย ถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหา กระทำความผิดฐาน เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.กาญจนบุรี รายงาน