ปมพิพาท ชายแดนไทย – กัมพูชา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ไทยประกาศจุดยืน แก้ปมขัดแย้งชายแดน ยืนยันใช้กรอบ JBC ในการเจรจา ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก แต่หลายคนที่ยังกังวลถึงความสงบหวั่นจะบานปลายไปจนถึงการสู้รบ จนกองทัพ โพสต์เฟซบุ๊ก เชิญชวนคนไทย ส่งกำลังใจให้กำลังพลของกองทัพ ติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้กระทรวงมหาดไทย สั่งการ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ตราด จันทบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เตรียมรับมือสถานการณ์ความไม่สงบ โดยให้เตรียมแผนอพยพ กำหนดจุดรวมพลและจุดพักพิง เตรียมกำลังพลสนับสนุนหน่วยทหาร แจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบต่อเนื่อง ป้องกันความตื่นตระหนก
ท่ามกลางความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่รู้จุดจบอยู่ที่ตรงไหน แน่นอนว่า กระแสรักชาติมาเต็มเปี่ยม จนมีการพูดถึง กำลังพลสำรอง ที่จะสามารถช่วยชาติได้อย่างไรบ้าง โดยทางเว็บไซต์ กองบัญชาการ กองทัพภาคที่ 3 ได้อธิบายถึง กำลังสำรอง ไว้ว่า
กำลังที่มิใช่กำลังประจำการและกองประจำการที่เตรียมไว้เพื่อปกป้องอธิปไตย ของชาติ แต่คือการประกอบกันของกำลังกลุ่มต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย กำลังพลสำรอง กำลังกึ่งทหาร กลุ่มพลัง มวลชนจัดตั้งโดยมีกฎหมายรองรับ และกลุ่มพลังมวลชนอื่นๆ
กำลังสำรอง ประกอบด้วยกำลังต่างๆ 4 กลุ่ม ได้แก่
1.กำลังพลสำรอง อาทิ ผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3, ชั้นปีที่ 5 และพลทหารกองประจำการที่รับ ราชการครบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกำลังสำรองที่ ทบ. สามารถนำมาใช้ในภารกิจทางทหาร และยังสามารถสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกระทรวงกลาโหมได้ตามที่กฎหมายกำหนด
2.กำลังกึ่งทหาร เช่น ตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยอาสาสมัครทหารพราน และหน่วยกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลพลเรือนที่ได้รับการฝึกวิชาทหารให้มีความสามารถในการทำการรบ
3.กลุ่มพลังมวลชนจัดตั้งโดยมีกฎหมายรองรับ เช่น นักศึกษาวิชาทหาร ไทยอาสาป้องกันชาติ และกลุ่ม กองหนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ
4.กลุ่มพลังมวลชนอื่นๆ เช่น กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน สมาคมศิษย์เก่า นักศึกษาวิชาทหาร สมาคมกำลังสำรองรักษาดินแดนไทย ชมรมการกำลังสำรองแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งเป็น กลุ่มที่ประกอบขึ้นจากบุคคลพลเรือนที่มีเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนภารกิจของกองทัพ
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า กำลังสำรอง เป็นกำลังที่ประกอบขึ้นจากกลุ่มบุคคลทุกสถานภาพทาง สังคม ไม่จำกัดเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา ขอเพียงมีเป้าหมายเดียวกัน คือ มีจิตสำนึกรักชาติ และอาสาเข้าร่วมกับ กลุ่มพลังมวลชนต่างๆ ที่ได้จัดตั้งขึ้น โดยในยามสถานการณ์บ้านเมืองเป็นปกติจะเป็นการรวมตัวกันเพื่อทำ ประโยชน์ให้กับประเทศชาติตามขีดความสามารถของตน สรุปสั้นๆ ได้ว่า … “กำลังสำรอง คือพลังแห่งมวลชน คือพลังแห่งการรักษาดินแดน
กำลังพลสำรอง กับ ทหารอาสา แตกต่างกันอย่างไร ?
กำลังพลสำรอง เป็นบุคคลซึ่งเป็นทหารกองหนุน ที่มีรายชื่อในบัญชีบรรจุกำลังของหน่วยตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการเตรียมพล หรือบุคคลที่เป็นกำลังสำรองประเภทหนึ่งตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมที่มี การบรรจุในบัญชีบรรจุกำลังตามกฏหมายว่าด้วยกำลังพลสำรอง สรุปง่ายๆ คือ มาจาก นักศึกษาวิชาทหาร และ พลทหารกองประจำการที่ปลดเป็นกองหนุนแล้ว
ทหารอาสา เป็นกำลังพลสำรองที่เข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราว มีทั้งประเภทที่เป็นนายทหารสัญญาบัตร นายทหารประทวน และพลทหารประจำการ แต่ไม่ใช่อาสาสมัครทหารพราน
กำลังพลสำรองถูกเรียกให้ไปทำงานไหม ?
การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร หมายความว่า การนำ กำลังพลสำรอง เข้าปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม โดยการเรียกกำลังพลสำรอง เพื่อ ตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม และในการระดมพล ตามกฎหมาย ว่าด้วยกำลังพลสำรอง ซึ่งประกอบด้วย การเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารแบบไม่เต็มเวลา และการ เรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหารแบบเต็มเวลา
ดังนั้น กระทรวงกลาโหม มีอำนาจในการออกคำสั่ง ระดมพล เพื่อเสริม กำลังพลประจำการจัดลำดับตามอายุ ชั้นที่ 1 อายุต่ำกว่า 30 ปีบริบูรณ์ ชั้นที่ 2 อายุ 30 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่ถึง 40 ปี ชั้นที่ 3 อายุ 40 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่ถึง 46 ปี และผู้พ้นกำหนดการรับราชการทหาร อายุเกิน 46 ปีบริบูรณ์
ขอบคุณข้อมูล กองบัญชาการ กองทัพภาคที่ 3