ตามหาหนุ่มวัย 48 หายตัวปริศนาพร้อมเงินขายอ้อย 7.5 แสน

วันที่ 21 พฤษภาคม 2568 นางนุชณี ไอร์ริค อายุ 43 ปี ชาว อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ได้พบสื่อมวลชน ขอให้ช่วยตามหา นายอนิรุจ ดีพิศ อายุ 48 ปี พี่ชายหายตัวปริศนา พร้อมด้วยเงินสดที่ขายอ้อยได้ 750,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2568

ตามหาหนุ่มวัย 48 หายตัวปริศนาพร้อมเงินขายอ้อย 7.5 แสน

ก่อนหายตัว พี่ชายได้ส่งข้อความมาบอกว่า จะนำเงินที่ขายอ้อยได้มาใช้หนี้ ธกส. หลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้ แม่และน้องสาวไปสอบถามกับผู้หญิงที่พี่ชายคบหาได้เกือบ 1 ปีกว่า และอยู่ด้วยกันที่บ้านผู้หญิงก่อนหายตัวไป อ้างว่าพี่ชายหนีไปกับเงิน ไม่รู้ว่าไปไหน แต่พอจะขอดูกล้องวงจรปิดในบ้านก็ไม่ให้ดู แม่เป็นห่วงลูกชายมากจึงได้ไปแจ้งคนหายที่ สภ.กุมภวาปี ตำรวจสันนิษฐานว่า คงไปนอนตามรีสอร์ท จะติดตามหาตัวให้ แต่น้องเป็นห่วงพี่ชาย แม่ยิ่งร้องไห้ทุกวันเพราะเป็นห่วงลูก ถึงวันนี้หายไปกว่า 22 วันแล้ว เกรงว่าจะได้รับอันตราย จึงมาขอให้สื่อนำเสนอข่าว หวังว่าจะมีผู้พบเห็นพี่ชายแจ้งเบาะแส

นางนุชณี เล่าว่า นายอนิรุจ หรือรุจ หรือวือ เคยมีภรรยาแต่ไม่มีลูกด้วยกัน และได้รับเลี้ยงลูกของญาติภรรยามาเป็นบุตรบุญธรรม โดยนายรุจ มีอาชีพทำไร่อ้อย และรับซื้ออ้อยส่งโรงงานน้ำตาล สลับกับทำไร่มันสำปะหลัง

ต่อมาภรรยาได้เสพติดยาบ้า ชอบอาละวาด ทำลายสิ่งของภายในบ้าน และทำร้ายนายรุจจนได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง ที่หนักไปกว่านั้นยังทำร้ายแม่สามีด้วย ทำให้นายรุจฟ้องหย่าภรรยา และอยู่เลี้ยงดูแม่กับลูกที่บ้านใน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ต่อมา เมื่อปี 66 ตนกับสามีเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน และได้วางแผนทำกิจการไร่อ้อยร่วมกับนายรุจพี่ชาย เพื่อจะพาสามีย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยแบบถาวร

นางนุชณี เล่าต่อว่า ต่อมาเดือนกันยายน มีเพื่อนของตน ชื่อนางมะลิ (นามสมมติ) อายุ 48 ปี ชาว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ซึ่งมีสามีประเทศเดียวกัน มาหาตนที่บ้าน และพบกับนายรุจพี่ชาย ได้พูดคุยและชอบพอกัน จึงตกลงคบหากัน เมื่อนางมะลิเดินทางไปต่างประเทศ นายรุจก็จะกลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่ อ.กุดจับ และเมื่อนางมะลิกลับมาเมืองไทย ก็จะโทรเรียกให้นายรุจไปอยู่ที่บ้าน อ.กุมภวาปี โดยนายรุจจะขับรถบรรทุกหกล้อไปด้วย เวลาอยู่กับนางมะลิ นายรุจจะไม่ค่อยโทรกลับมาบ้านหาลูกและแม่ เมื่อโทรหาก็ไม่รับสาย แต่นายรุจจะติดต่อด้วยการส่งข้อความมาทางไลน์ คาดว่าจะโดนนางมะลิบังคับไม่ให้ติดต่อญาติ

“สิ่งที่พี่ชายกลัวที่สุดคือการเป็นหนี้มาก รถบรรทุกหกล้อที่ซื้อเป็นชื่อน้องสาวเมื่อส่งหมดงวดแล้ว ก็โอนให้เป็นชื่อพี่ชาย ส่วนรถไถเป็นชื่อพี่ชาย น้องก็ให้เงินไปปิดงวดไปหมดแล้ว แต่หลังจากไปอยู่กับนางมะลิ พี่ชายกลับเอาโฉนดที่ดินของแม่ไปกู้ ธกส. 2 แสนบาทโดยมีแม่รับรู้ แต่พี่ชายไปเอาเพิ่มอีก 2 แสนโดยไม่บอกแม่ รวมเป็น 4 แสนบาท รถบรรทุกหกล้อ เอาเข้าไฟแนนซ์ 2.9 แสนบาท และรถไถก็เอาเข้าไฟแนนซ์ 1.5 แสนบาท รวมพี่ชายมีหนี้สินรวม 8 แสนกว่าบาท”

นางนุชณี ยังเล่าต่อไปว่า วันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา นายรุจได้ส่งข้อความมาบอกตนว่า ขายอ้อย 500 ตัน ได้เงิน 7.5 แสนบาท มีเงินไปใช้หนี้ ธกส.แล้ว และจะโอนเงินให้ตนไปใช้หนี้ ธกส.ให้ แต่พอวันที่ 30 เมษายน ตนก็ติดต่อกับพี่ชายไม่ได้เลย โทรไปก็ไม่รับ ส่งไลน์ไปก็ไม่ตอบ แต่นางมะลิจะไปบอกกับเพื่อน หรือกลุ่มที่ทำไร่อ้อยด้วยกันว่า นายรุจขายอ้อยได้เงิน 7.5 แสน แล้วขับรถกลับมาบ้าน และนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ส่วนนางมะลิเข้าไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมานายรุจก็หายไป นายรุจคงจะหนีไปพร้อมกับเงินขายอ้อย ตนรู้สึกผิดปกติเพราะนางมะลิทำไมไม่โทรมาบอกแม่และน้องสาวว่านายรุจหายไป

“เมื่อติดต่อพี่ชายไม่ได้ และตามหาพี่ชายไม่พบ วันที่ 8 พฤษภาคม แม่จึงไปแจ้งความคนหายที่ สภ.กุมภวาปี จากนั้นตำรวจก็พาไปตามหานายรุจที่บ้านนางมะลิ ซึ่งก็ไม่ยอมให้ตนเข้าบ้านพูดคุยสอบถาม มีแต่ให้ตำรวจแม่และหลานเข้าไปบ้าน ซึ่งหลานใช้มือถือแอบถ่ายคลิปบันทึกเสียงเอาไว้ นางมะลิก็บอกแค่ว่านายรุจเดินหนีไปจากบ้านไปพร้อมกับเงิน อาจจะหนีไปกับผู้หญิง แต่ทำไมนายรุจไม่ขับรถหกล้อไปด้วย ซึ่งปกติพี่ชายไม่เคยทิ้งรถไว้ที่ไหน จึงขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้รอบบ้าน แต่นางมะลิก็ไม่ให้เปิดดู”

นางนุชณี เล่าต่ออีกว่า หลังจากที่ไม่ได้คำตอบจากนางมะลิ ตำรวจรับปากว่าจะสืบหาตัวนายรุจให้ ผ่านมาหลายวันก็ยังไม่มีวี่แววของนายรุจ ตนได้เอารูปพี่ชายโพสต์ลงเฟซบุ๊กประกาศตามหา หรือใครพบเห็นให้แจ้งเบาะแส ก็ยังไม่มีใครพบเห็น ญาติพี่น้องต่างก็ตามหา ส่วนแม่ไม่ต้องพูดถึงห่วงลูกมากจนร้องไห้ทุกวัน คิดว่าพี่ชายคงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาจถูกนำไปกักขังไว้ในรีสอร์ท หรือบ้านพัก เพราะว่าเวลาที่ตนไปสอบถามตำรวจพบเห็นพี่ชายตนหรือยัง พี่ชายก็จะโทรศัพท์ไปหาลูกสาว คล้ายกับยืนยันยังมีชีวิตอยู่ แต่พอถามว่าอยู่ที่ไหนก็บอกไม่ได้ และพูดน้อยมาก ลักษณะอยู่ในห้อง พี่ชายอาจโดนวางยากล่อมประสาท หรือยานอนหลับก็ได้

Leave a Comment