กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. ร่วมกันตรวจค้น 1. สำนักงานใหญ่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 2. สาขานวนคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 3. สาขาระยอง จังหวัดระยอง พร้อมตรวจยึด
1.หนังสือรับรองการขอจัดตั้งบริษัท 1 ชุด
2.รายการสต๊อกสินค้า 1 แฟ้ม
3.เอกสารการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ/เช่าซื้อในประเทศ 1 แฟ้ม
4.ใบส่ง-ส่งสินค้า ปี 2568 2 แฟ้ม
5.ใบส่งสินค้างานเช่า ใบรับสินค้าคืน 2 แฟ้ม
6.สำเนาเอกสารรถ 1 แฟ้ม
7.ใบเช่าใบรับสินค้า 3 แฟ้ม
8.เอกสารงบการเงินและรายงานของผู้สอบบัญชี 1 แฟ้ม
9.สมุดบัญชีธนาคาร 6 เล่ม
10.ตราประทับบริษัท จำนวน 9 อัน
ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ดังต่อไปนี้
1.นิติบุคคล จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย
– นิติบุคคลสัญชาติจีน จำนวน 1 ราย
– นิติบุคคลสัญชาติไทย จำนวน 1 ราย
2.บุคคล จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย
– นายเหวย (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี สัญชาติจีน
– นางสาว ปุณณดา (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี บุคคลสัญชาติไทย
– นางสาว ณัฐรดา (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี บุคคลสัญชาติไทย
เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐาน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
สืบเนื่องจาก ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ตรวจสอบพบบริษัทต้องสงสัยว่าเข้าข่ายกระทำความผิดในลักษณะนำบุคคลสัญชาติไทยมาเป็นตัวแทนอำพราง หรือที่เรียกว่า นอมินี ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนของคนไทยแทนคนต่างด้าว เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายและการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ประกอบธุรกิจในลักษณะการนำเข้า และให้เช่า เครื่องจักรหนัก รถเครน และรถยก เพื่อเลี่ยงข้อกฎหมาย
ต่อมา กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ทำการสืบสวนสอบสวน พบว่า โครงสร้างของกลุ่มบริษัท มีการนำนิติบุคคลมาถือหุ้นในสัดส่วนของผู้ถือหุ้นของคนไทย โดยบริษัทดังกล่าวมีการจดจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเป็นโฮลดิ้ง แต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆ ซึ่งบริษัทมีความเกี่ยวพันกันทั้งในด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้น กรรมการ และเส้นทางการเงิน ในส่วนของผู้ถือหุ้นคนไทย จำนวน 2 ราย ไม่มีบทบาทในการบริหาร และน่าเชื่อว่าไม่ได้ลงทุนจริง โดยทั้ง 2 รายเป็นพนักงานของบริษัท และเมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัทพบว่า มีการรับโอนเงินจากนายทุนจีนมาลงทุน เป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท และพบเงินหมุนเวียนในบัญชีของบริษัทกว่า 500 ล้านบาท จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเรื่อยมา
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้นจับกุม ได้นำหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นบริษัทและที่ตั้งของสาขาต่างๆ พร้อมกัน 3 จุด ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ระยอง และพระนครศรีอยุธยา พบเอกสารให้เช่าซื้อ และ เครื่องจักรหนักจากในและนอกประเทศ กว่า 250 คัน อาทิเช่น รถเครน รถยก และอื่นๆ จากการสอบถามพนักงานและกรรมบริษัท ผู้ถือหุ้นคนไทย ให้การยืนยันว่าบริษัทฯ ถูกบริหารโดยบุคคลสัญชาติจีนเป็นหลัก ทั้งยังพบการใช้คิวอาร์โค้ดของพนักงาน ในการรับเงินจากการเช่ารถเครน และเครื่องจักรหนักต่างๆ ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นการกระทำที่อาจจะหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ ทั้งนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลต่อไป
จากการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม กก.4 บก.ปอศ. พบว่า ในห้วงปี 2566-2567 หลังจากจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว บริษัทได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าประเภท รถเครน และเครื่องจักรหนักอื่นๆ จากประเทศจีน โดยมีการนำเข้าเครื่องจักรหนักมาจากประเทศจีน เพื่อมาจำหน่ายและให้เช่าภายในประเทศไทย มีการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก และการขยายสาขาอีกหลายแห่ง ทั้งในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดระยอง
ซึ่งการประกอบธุรกิจนำเข้าเครื่องจักรเพื่อทำการขายภายในประเทศ หรือให้เช่าเครื่องจักรดังกล่าว เป็นธุรกิจที่ต้องได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่กลับมีการประกอบกิจการนำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักร เช่น รถเครน และรถตัก ซึ่งเป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขันกับชาวต่างชาติ จึงได้ดำเนินคดี กับบริษัท จำนวน 2 บริษัท และบุคคลทั้งสัญชาติจีนและสัญชาติไทย จำนวน 3 ราย ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ตามกฎหมายต่อไป จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน