จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ไก้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวชวนสะเทือนใจ หลังมีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง เติบโตมาโดยมีคุณแม่เลี้ยงดูมาคนเดียว น้องเป็นคนขยันและตั้งใจเรียน มีความฝันว่าอยากจะเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งไม่นานนี้น้องเพิ่งทราบความจริงว่าคุณพ่อเป็นนายตำรวจยศ พ.ต.อ. มีตำแหน่ง มีชื่อเสียงที่ดี แต่เมื่อน้องติดต่อไป พ่อแท้ ๆ กลับถามว่า มาทำไม โดยจะไม่ขอส่งเสีย ให้ไปหาทุนเอง พร้อมกำชับว่าไม่ต้องมาหาที่ทำงานอีก อยากโฟกัสที่เลื่อนตำแหน่ง ไม่อยากมีเรื่อง ก่อนจะตัดการติดต่อทุกช่องทางนั้น
ล่าสุด ในรายการโหนกระแส ดำเนินรายการโดยพิธีกรดัง หนุ่ม กรรชัย พูดคุยกับเด็กสาวรายดังกล่าว คุณเพียว เจ้านายของแม่เด็ก เล่าว่า คุณรุ่ง แม่ของ น้องหนู เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงานที่ร้านนวดแผนโบราณของตนมาเป็นเวลานาน ช่วงแรกๆ สมัยที่น้องหนูยังเล็ก เห็นว่าคุณรุ่งจะต้องไปมา ทั้งทำงาน ดูแลลูก จนสุดท้ายตนตัดสินใจให้พี่รุ่งเอาน้องมาอยู่ด้วย และให้ย้ายเข้าทะเบียนบ้านของตน เพื่อให้น้องได้สิทธิ์เข้าเรียนในสถานศึกษาใกล้บ้าน และเลี้ยงดูน้องมาด้วยกัน เหมือนเป็นเพื่อนของลูก
ที่ผ่านมา แม่ไม่เคยให้คำตอบเรื่องพ่อกับน้องหนูมาก่อน ว่าพ่อเป็นใครอยู่ที่ไหน ส่วนตัวน้องก็มองว่าไม่ได้ขาดความอบอุ่น ไม่เคยคิดถาม ส่วนตัวรู้ชื่อจากใบสูติบัตรของน้อง แต่ไม่ได้สนใจไปค้นหาว่าคนชื่อนี้คือใคร
กระทั่งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว พี่รุ่งล้มป่วย เริ่มทำงานลำบาก รายได้ที่หาได้จากการทำงานนวดแผนโบราณ เดือนละเกือบๆ 2 หมื่นบาทเริ่มไม่พอ โรงเรียนที่น้องหนูเรียนก็อนุญาตให้ติดค้างมาได้ แต่ล่าสุดปัจจุบันเด็กหญิงจบ ม.3 แล้ว แต่ไม่สามารถนำใบวุฒิการศึกษามาสมัครเรียนต่อได้ เนื่องจากยังค้างชำระค่าเทอม และไม่มีเงินชำระ
ต่อมาคุณรุ่งบอกลูกสาวว่า คุณพ่อยังอยู่ และให้ไปติดต่อคุณพ่อ เรื่องของการเรียนต่อ เพราะคุณแม่เริ่มไม่ไหวแล้ว โดยคุณรุ่งขอร้องให้ช่วยพาน้องไปหาคนๆ นี้ จึงเอาชื่อคุณพ่อจากสูติบัตรไปค้นหาในกูเกิ้ล และพบว่า พ่อเป็นนายตำรวจมียศ พ.ต.อ. มีตำแหน่งในองค์กร และมีภาพลักษณ์ที่ดีในสื่อ ชอบช่วยเหลือเด็ก ไปมอบทุนนู่นนี่นั่น
คุณเพียว กล่าวว่า จึงโทรไปประสานติดต่อ ไปยังหน่วยงานของพ่อ ปรากฏว่าส่งลูกน้องออกมารับหน้า ปฏิเสธไม่ให้พบ บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไปเอง แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายาม ทั้งน้องหนูและตน ช่วยกันติดต่อผ่านทางลูกน้องของนายตำรวจนายนี้
ภายหลังทั้งสองนัดพบกันอีกครั้ง น้องหนูได้พูดถึงความตั้งใจเรียนต่อ ตอนแรกอยากจะเรียนต่อสายสามัญ เพราะอยากเป็นทนายความ แต่มาพิจารณาตอนนี้ จากความยากลำบากของชีวิต เชื่อว่าเรียนสายอาชีวะอาจจะดีกว่า เพราะเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมตัวเองได้
ผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นตำรวจ ยศพ.ต.อ. ติดต่อผ่านทีมงานรายการบอกมาเพียงว่า ไม่สะดวกจะเข้าสายโฟนอิน แต่ให้ข้อมูลว่า ตอนที่น้องยังเด็กมากๆ เคยดูแลโดยพาลูกไปให้น้อง ซึ่งเป็นแพทย์ช่วยเลี้ยงดูอยู่ที่ชลบุรี ไปทั้งแม่-ลูก อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แม่หอบลูกหนีไปเลย บอกว่าจะไปทำงานที่ญี่ปุ่น แม่เด็กทำสิ่งที่ตัวเองรับไม่ได้ จากนั้นก็บล็อกการติดต่อกันทุกช่องทาง ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ตอนที่ลูกมาหา 2 ครั้ง ที่ให้กลับไป เพราะเป็นสถานที่ราชการ ไม่ควรมาคุยเรื่องแบบนี้ในที่ทำงาน ถามว่าช่วยเหลือค่าเล่าเรียนได้ไหม ก็กำลังจะช่วย แต่เงินเก็บของตัวเองหมดไปเกือบ 2 ล้านบาท เอาไปใช้รักษาตัวเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด ยังไม่ได้ข้อสรุปในการจ่ายเงินให้เด็ก
พ่อ ซึ่งเป็นตำรวจ ยศพ.ต.อ. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันตนมีภรรยา มีทะเบียนสมรส เมียหลวงตั้งใจจะฟ้องร้องแม่ของน้องหนูด้วย แต่ตนเป็นคนห้ามไว้ สิ่งที่ตนไม่พอใจคือ ทำไมถึงให้คนอื่นมาคุย คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง ในเมื่อเป็นเรื่องในครอบครัว
สุดท้ายในรายการ เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ไม่สามารถหาข้อสรุปจากผู้เป็นพ่อได้ หนุ่ม กรรชัย บอกว่า ทางสปอนเซอร์ ได้แก่ M-150 และ ดัชมิลล์ มอบเงินช่วยเหลือ สนับสนุนน้อง รายละ 2 หมื่นบาท รวมเป็น 4 หมื่นบาท เอาไว้รักษาแม่ ส่วนเรื่องค่าเทอม ค่าเล่าเรียน หนุ่ม กรรชัยเสนอให้น้องกลับไปตัดสินใจว่าจะเรียนอะไร เพราะถ้าน้องยังอยากจะเป็นทนายความ อยากให้มาเรียนสายสามัญ ถ้าตั้งใจจะทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จะเรียนสายอาชีพ ก็ได้เช่นกัน ซึ่งค่าเล่าเรียน จะเป็นผู้รับผิดชอบให้จนเรียนจบ