จากกรณีเพจเจ๊ม้อย v+ ได้มีการเผยแพร่กรณีครูอนาจารนักเรียนบนโลกโซเชียลจนมีการแชร์อย่างกว้างขวางและได้รับความสนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยระบุว่า ครูผู้ชายโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี ล่วงละเมิดน้องเรียนชายวัย 12 ปี ผ่านมา 4 เดือน เรื่องกลับเงียบ
จากการสอบถามแม่เด็กเบื้องต้น ทราบว่า วันที่ 4 มกราคม 2568 ครูได้มารับลูก และบอกว่าจะพาลูกไปเที่ยวน้ำตก กระทั่งมาส่งลูกในเวลา 19.00 น. แม่จึงเห็นความผิดปกติ จากที่ลูกเคยร่าเริง กลับกลายเป็นว่าลูกเงียบ หน้าตาเปลี่ยนไป ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ จนวันที่ 5 มกราคม แม่จึงไปส่งลูกเรียนตามปกติ ด้วยเป็นโรงเรียนประจำ ห้ามให้เด็กพามือถือไป แม่จึงเก็บไว้
จากนั้นแม่อยากรู้ว่าลูกได้ไปเที่ยวไหน ถ่ายอะไรมาบ้างเมื่อวาน จึงทำการเปิดมือถือดู ปรากฏว่าแม่ได้ไปพบกับแชตระหว่างครูกับลูกที่มีข้อความในเชิงคำพูดไม่เหมาะสม คล้ายจะทำอนาจารกับเด็ก จึงเข้าแจ้งความทันทีที่จังหวัดยะลา เพราะตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านที่จังหวัดยะลา ช่วงที่แม่เปิดดูข้อความดังกล่าว จนผ่านไปหลายเดือน เรื่องดังกล่าวไม่คืบหน้า จึงมีการเผยแพร่ทางโซเซียลและมีการแชร์เป็นวงกว้าง
หลังจากเป็นกระแสในโซเชียล ก็ได้มีคนพยายามจะเข้ามาไกล่เกลี่ยให้ได้ ซึ่งมีการอ้างว่าได้มีอดีตกำนันได้พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ย และบอกว่าจะเอาเท่าไหร่เพื่อให้เรื่องจบ ทางผู้เสียหายจึงเรียกไป 200,000 บาท ซึ่งผู้เสียหายบอกว่าไม่ได้ต้องการเงิน ที่เรียกเยอะ เพราะรู้ว่าครูผู้ก่อเหตุไม่มีปัญญาจ่ายแน่นอน และผู้เสียหายก็ตั้งเจตนาจะดำเนินคดีอยู่แล้ว
กระทั่งผ่านไปไม่กี่วัน ทางกำนันก็มาเจรจา ขอลดเหลือ 50,000 บาทแล้วให้จบ พร้อมพูดว่า “เด็กก็โดนไปแล้วก็โดนไป เอาเงินไปใช้เถอะ” แต่ทางผู้เสียหายก็ไม่ยอม จนอดีตกำนันคนนี้ได้ไปแอบคุยกับพ่อผู้เสียหาย ให้เงิน 5 พันบาท เพื่อจบเรื่องนี้ โดยผู้เสียหายอ้างว่า อดีตกำนันได้บิดเบือนข้อมูล ซึ่งมีการบอกกับพ่อว่าที่มีปัญหากัน เพราะเด็กขอเงินเติมเกมส์จากครูผู้ก่อเหตุ แต่ครูไม่ให้ เลยแจ้งความจะเอาเงิน จนผู้เสียหายถูกผู้เป็นพ่อด่า ทำให้ผู้เสียหายไม่ยอมความ และจะดำเนินการให้ถึงที่สุด
ล่าสุด เมื่อมูลนิธิเป็นหนึ่งทราบเรื่องจึงได้ประสานไปยังแม่ของเด็กทันที ก่อนได้พาแม่เด็กพร้อมด้วยลูกชายมายังที่ สภ.เมืองปัตตานี เพื่อทำการเข้าแจ้งความ ขณะที่เด็กเจ้าหน้าที่ได้มีการนำเสื้อมาคลุมหน้าเด็กไว้อยู่ตลอด ส่วนด้านพนักงานสอบสวนได้ทำการรวบรวมหลักฐาน โดยสอบสวนทั้งแม่ และเด็ก เพื่อเตรียมออกหมายเรียกครูมาให้ปากคำที่ สภ.เมืองปัตตานี โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย
ด้านแม่ของผู้เสียหาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ลูกชายได้มาขอตนว่า ครูจะพาไปเล่นน้ำตก ตนก็อนุญาตให้ไป กระทั่งวันที่ 4 มกราคม 2568 ขณะที่ตนขายของในตลาดกับลูก ก็มีครูได้มารับ ซึ่งครูได้บอกกับว่าจะพาลูกไปเที่ยว จากนั้นเมื่อเวลา 1 ทุ่ม ครูก็ได้มาส่งลูก แต่ตนรู้สึกว่าลูกมีอาการผิดปกติ เพราะถามอะไรก็ไม่ตอบ จนวันถัดมา ตนก็ได้ไปส่งลูกที่โรงเรียนตามปกติ และได้นำมือถือของลูกมาดูว่าลูกไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ปรากฏว่าตนพบบทสนทนาในข้อความระหว่างลูกชายและครูที่มารับในเชิงทำนองที่ครูคนดังกล่าวจะชักชวนลูกของตนไปทำอนาจาร
ตนทราบเรื่องจึงเดินทางไปโรงเรียนเพื่อขอพบ ผอ.โรงเรียน แต่ไม่เจอ และได้ฝากเรื่องไว้กับเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนที่ติดต่อ จนเวลาผ่านไปตนเริ่มไม่ไหวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงตัดสินใจแชตในกลุ่มของโรงเรียน จนมีครูได้โทรมาหาว่า ตนไม่สมควรทำแบบนี้ และก่อนได้ลบข้อความของคุณแม่ออกไปจากแชตกลุ่ม ซึ่งขณะนั้นแม่ได้ปรึกษากับญาติและตัดสินใจแจ้งความที่ สภ.เมืองยะลาไว้ก่อน และได้แค่ลงบันทึกประจำวัน ซึ่งสาเหตุที่แจ้งความที่จังหวัดยะลา เพราะขณะนั้นแม่อยู่จังหวัดยะลาพอดี
ผ่านมาประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทาง ผอ.โรงเรียนได้ขอพบคุณแม่ และพยายามพูดเกลี้ยกล่อมบอกกับตน และบอกว่าครูคนดังกล่าวฐานะไม่ดี และมีปัญหาครอบครัว และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้ และได้ทำโทษไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเด็กนักเรียนให้ย้ายไปอยู่ห้องเอกสาร ตนไม่ยอมและบอกไปว่าตอนนี้ได้ไปแจ้งความไว้แล้ว ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ เพราะตนรู้สึกว่าทางโรงเรียนปิดกั้นทุกอย่างและไม่ยุติธรรมต่อตน ซึ่ง ผอ.ก็มาพูดว่า เรื่องนี้ขอได้มั้ย ให้ไปถอนแจ้งความ เดี่ยวค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะจัดการให้ ตนบอกว่าเรื่องไปถึงตำรวจแล้ว
ซึ่งตนได้สอบถามลูกแล้ว ลูกยังเงียบ ที่ตนรู้ก็เพราะข้อความที่คุยกัน และถ้าตนไม่ให้ข้อความนี้ ตนก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกบ้าง ส่วนสภาพจิตใจลูกตอนนี้ย่ำแย่มาก ตั้งแต่ที่กลับจากเที่ยว และลูกได้แต่บอกว่า จะไม่ไปโรงเรียน บอกซ้ำ ๆ ทั้งที่น้องเป็นเด็กเก่ง ชอบแข่งด้านคอมพิวเตอร์ ด้านการทำหุ่นยนต์ หรือกิจกรรมอะไรต่างๆ ลูกก็จะร่วมตลอด สิ่งที่ตนต้องการ คือเอาผิดกับครูคนนี้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้เขาไปทำกับเด็กคนอื่น ๆ อีก
ทางด้าน นส.ณภัชกมล สังข์แก้ว อาสาสมัครมูลนิธิเป็นหนึ่ง เปิดเผยว่า ในประเด็นเกี่ยวกับการอนาจารเด็กซึ่งเกิดจากครูที่เป็นผู้ชายที่ทำอนาจารน้องผู้ชายอายุ 12 ปี ตนในนามมูลนิธิเป็นหนึ่งจึงได้รับเรียนกับพี่ต้นอ้อ และพี่เขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ซึ่งตนก็ยังไม่ทราบว่าที่โรงเรียนอื่น ๆ ยังมีกรณีอีกหรือไม่ เราจึงมาดูแลกรณีนี้
การดำเนินการวันนี้ เบื้องต้นได้พาคูนแม่ผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีเกี่ยวกับการทำอนาจารเด็ก ซึ่งวันนี้ทาง พม.มีความเป็นห่วงเด็ก จึงได้รับเด็กพาไปดูแลก่อนเพื่อทำการขยายผลในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
จากการที่รับฟังข้อเท็จจริงที่น้องเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟัง ซึ่งมีมูลในการทำความผิดจริง โดยไปรับน้องมาจากที่บ้าน และพามาที่โรงเรียนให้น้องใช้มือช่วย เสร็จกิจแล้วจึงพาน้องและเพื่อนน้องอีก 2 คนไปเที่ยวน้ำตก ซึ่งครูคนนี้ทำอย่างอื่นกับเด็กอีกไม่ตนก็ยังไม่ได้ถามรายละเอียดลงลึก เพราะน้องอยู่สภาวะวิตกกังวล และหวาดระแวง จึงต้องให้เป็นหน้าที่ของนักจิตวิทยาต่อไป
สำหรับประเด็นที่มีการแพร่กระจายในเรื่อง ถ้าหากมาแจ้งความที่นี่คดีจะเงียบ ซึ่งวันนี้เราได้คุยกับผู้บังคับบัญชาแล้วและไม่มีความจริงแต่อย่างใด เพราะการดำเนินคดีก็ต้องมีขั้นมีตอน ซึ่งที่แม่ไปแจ้งความที่ยะละนั้น แจ้งเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ที่ครูทักข้อความมาหาเด็กพูดในเรื่องที่ไม่เหมาะ จึงแจ้งความที่ยะลาทันที เพราะแม่เห็นข้อความที่บ้านตอนที่แม่อยู่ที่ จ.ยะลา แต่ในส่วนของการทำอนาจารเหตุเกิดที่ จ.ปัตตานี จึงได้เข้าแจ้งความ ซึ่งทางผู้กำกับ และ รองผู้กำกับได้ดูแลคดีนี้เป็นอย่างดี และประสานงานมาโดยตรง
เรื่องนี้จะเอาให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่าง เราก็ไม่ทราบว่าความรุนแรง การทำอนาจาร หรือเรื่องเกี่ยวกับเด็กและสตรียังจะมีแบบนี้อยู่อีกหรือไม่ ส่วนรายอื่นๆ ที่เกิดเหตุในโรงเรียนเดียวกัน ตนได้ประสานงานอยู่ เบื้องต้นได้มา 2 คน เป็นศิษย์เก่า และยืนยันว่าเป็นผู้กระทำผิดคนเดิม มีพฤติกรรมเดิมซ้ำซาก พอเรื่องแดงขึ้น ก็จะมีซองสีขาวมาเคลียร์ หรือให้ผู้มีอำนาจในพื้นที่มาช่วยคุย