วันนี้ (26 มี.ค. 2568) สำนักงาน ป.ป.ท. นำโดยนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พร้อมด้วยพันตำรวจโท สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. รักษาราชการแทน รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.นางสาวอาภรณีย์ เสมรสุต ผู้อำนวยการกองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 1 หัวหน้าชุดปฏิบัติการ พันตำรวจโท สราวุธ คำเหลือง ผู้อำนวยการกองอำนวยการต่อต้านการทุจริต นางสาววรัญญา ชวศุภกุล ผู้อำนวยการกองบริหารความเสี่ยงและสกัดกั้นการทุจริตในภาครัฐ
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับ บก.ปปป. นำโดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. และสำนักงาน ป.ป.ช. นำโดยนายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ได้ร่วมกันเปิดปฏิบัติการปราบปรามขบวนการทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก พร้อมทั้งสนธิกำลังจับกุมผู้ต้องหาและแจ้งข้อกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ได้ปรากฏข่าวว่ามีขบวนการนำยาออกจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึกโดยทุจริต ซึ่งมีพฤติการณ์จัดหาเครือข่ายบุคคลจากจังหวัดลพบุรีเข้ามารับยาจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และนำยาทั้งหมดที่ได้ให้กับแม่ทีมเครือข่ายเพื่อแลกกับค่าจ้างร้อยละ 10 ของค่ายา ซึ่งแม่ทีมเครือข่ายจะได้ค่าจ้างรายหัวอีกรายละ 1,500 บาท
ซึ่งต่อมาสำนักงาน ป.ป.ท. ได้รับทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเห็นว่ามีมูลการกระทำผิดจึงได้แจ้งให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดพิจารณาตรวจสอบ เป็นเหตุให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้ทำการร้องทุกข์ต่อ บก.ปปป. และมีการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มผู้กระทำผิดทั้งหมด ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จนนำมาสู่การบูรณาการเข้าบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน ระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ท. บก.ปปป. และสำนักงาน ป.ป.ช.
โดยในวันนี้เป็นการร่วมกันทำการจับกุมผู้กระทำผิด โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 2 คน 2. กลุ่มแม่ทีมเครือข่ายนำคนเข้ารับยา จำนวน 2 คน และ 3. กลุ่มรับซื้อยาและจำหน่ายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย จำนวน 4 คน อีกทั้ง ยังได้ร่วมตรวจค้นร้านยาในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครและจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีข้อมูลว่าเป็นแหล่งรับซื้อยาจากกลุ่มผู้กระทำผิด และตรวจค้นบ้านพักและที่อยู่อาศัยของผู้ถูกจับกุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดลพบุรี และจังหวัดปราจีนบุรี รวมทำการตรวจค้นทั้งหมด 17 แห่ง ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ความผิดดังกล่าว เกิดจากการกระทำส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต้นสังกัด
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน