สามีรอรับร่างภรรยา เผยก่อนตึกถล่ม ยังนั่งกินข้าวด้วยกัน ไม่คิดว่าจะเป็นมื้อสุดท้าย

สามีรอรับร่างภรรยา ตึกถล่ม เผยก่อนเกิดเหตุ ยังนั่งกินข้าวด้วยกัน ไม่คิดว่าจะเป็นมื้อสุดท้าย ภรรยาทำงานขับลิฟต์ส่งคนงานอยู่ชั้น28

วันที่ 1 เม.ย 68 ที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ นายรุ่งโรจน์ แขมคำ อายุ 43 ปี สามีของนางสาววิภาคำ พรหมภักดี อายุ 40 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตึกถล่ม เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุกินไม่ได้นอนไม่หลับ ได้แต่เฝ้าติดตามสถานการณ์ในการค้นหาผู้รอดชีวิตของเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้เจ้าหน้าที่ เห็นแหวนที่ภรรยาสวมใส่ พร้อมทั้งชุดของบริษัทที่ตนและภรรยาทำอยู่

จึงได้สอบถามมายังตนว่าร่างที่เจอเมื่อคืนนี้เป็นภรรยาของตนหรือไม่ เมื่อตนเห็นจึงจำได้ทันทีว่าแหวนดังกล่าวคือแหวนที่ภรรยาของตนใส่เอาไว้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งแหวนที่ภรรยาชอบถึงแม้ว่าจะมีราคาเพียง 50 บาท แต่เจ้าตัวก็ใส่ติดตัวไม่เคยถอด แต่เคยมีบางครั้งที่ตนเคยขอยืมภรรยามาใส่ แต่ไม่สามารถใส่ได้ จึงส่งคืนให้กับภรรยาไป เมื่อตนเห็นแหวนวงดังกล่าวที่อยู่ในนิ้วของผู้เสียชีวิต จึงมั่นใจว่าเป็นภรรยาของตนอย่างแน่นอน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า โดยในวันที่เกิดเหตุภรรยามีหน้าที่ขับลิฟต์รับส่งคนงาน ส่วนตนทำหน้าที่ให้สัญญาณกับเครนที่อยู่บนดาดฟ้า ซึ่งในวันเกิดเหตุช่วงพักเที่ยงตนกับภรรยามานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน และมีการพูดคุยเรื่องทั่วไป

หลังจากกินข้าวเสร็จตัวของภรรยาก็มีการแซวตนว่า “หัวมึงหงอกเยอะแล้วนะ กูถอนให้” ซึ่งตอนนั้นตนก็รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วภรรยาของตนไม่เคยทำอะไรในลักษณะแบบนี้ และปกติแล้วภรรยาของตนก็ไม่ใช่คนที่แสดงความรักเก่ง ทำให้ตนแปลกใจ และก็ไม่คิดว่าในวันนั้นจะเป็นมื้อสุดท้ายที่ได้นั่งกินด้วยกัน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า เพราะช่วงเกิดเหตุ ตนทราบว่าภรรยาทำงานอยู่บริเวณชั้น 28 ส่วนตัวเองนั้นอยู่บริเวณหน้าตึก ซึ่งในตอนที่เกิดเหตุนั้นตนได้ยินเสียงเหมือนปูนลั่นจำนวน 2 ครั้ง จึงพยายามโทรไปหาภรรยา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ หลังจากนั้นเมื่อปูนลั่นครั้งที่ 3 ตึกก็ถล่มมา ตนก็วิ่งเอาตัวรอดออกมา โดยในระหว่างที่วิ่งเอาตัวรอดออกมานั้นก็ยังพยายามโทรศัพท์ไปหาภรรยาอยู่เรื่อยๆ แต่ภรรยาไม่รับ

ซึ่งหลังจากที่ตึกถล่มลงมานั้นฝุ่นก็ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ ตนก็หมอบตัวลงพร้อมกับใช้ผ้าปิดบริเวณปากและจมูก หลังจากนั้นเมื่อฝุ่นจางแล้วตนก็รีบวิ่งกลับไปที่กองซากตึก และไปเรียกหาภรรยาอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่มาดึงตนออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

หลังจากนั้นตนก็เฝ้ารออยู่บริเวณจุดเกิดเหตุตั้งแต่วันแรก จนถึงเมื่อคืนนี้ที่เจ้าหน้าที่เจอร่างของภรรยาของตน โดยหลังจากนี้ตั้งใจว่าจะนำร่างของภรรยากลับไปประกอบพิธีกรรมตามศาสนาที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และจะกลับมาทำงานรับจ้าง เพื่อเก็บเงินส่งให้ครอบครัว และลูกต่อไป

เนื่องจากตนไม่มีทรัพย์สินอื่น และไม่มีความรู้ ช่วงที่ภรรยายังอยู่นั้นตนเองกับภรรยาก็ทำงานรับจ้างทั่วไป พยายามหาเงินส่งให้กับครอบครัว และลูก เลยทำให้ไม่เคยคิดถึงอนาคตเรื่องอื่น

ด้าน พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีร่างของผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ตึกถล่ม ถูกส่งมาพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่สถาบันนิติเวชวิทยา แล้วจำนวนทั้งหมด 12 ร่าง ซึ่งตอนนี้สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ตัวบุคคลได้ครบทุกร่างแล้ว แต่ยังมีปัญหาในส่วนของร่างที่เป็นแรงงานชาวต่างชาติจำนวน 1 ร่าง ที่ทางแพทย์นิติเวชพิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นบุคคลใด แต่ยังไม่มีบริษัท หรือญาติของผู้เสียชีวิตรายนี้เข้ามายืนยัน

ตนจึงอยากจะขอวิงวอนให้บริษัทต้นสังกัดของผู้เสียชีวิตเข้ามาติดต่อ เพื่อรับร่างของผู้เสียชีวิตไปบำเพ็ญกุศลตามหลักศาสนา ส่วนในเรื่องของการตรวจดีเอ็นเอน ในตอนนี้มีครอบครัวของผู้สูญหายจำนวนกว่า 40 ครอบครัว เข้ามาติดต่อและขอเก็บดีเอ็นเอเพื่อเป็นฐานข้อมูลเอาไว้แล้ว แต่ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้เข้ามาติดต่อ

เนื่องจากในตอนนี้ตัวเลขของผู้สูญหายทราบว่ามีประมาณ 76 ราย จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ญาติ ของผู้สูญหายในเหตุการณ์ตึกถล่มเดินทางเข้ามาที่สถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อเก็บหลักฐานทางดีเอ็นเอ และเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความ โดยสามารถเดินทางมาที่สถาบันนิติเวชวิทยาได้เลย เพราะที่นี่เรามีการจัดเตรียมพนักงานสอบสวน พร้อมกับเขตในการแจ้งใบมรณบัตรเอาไว้แล้ว

Leave a Comment