วันที่ 18 ก.พ. 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ปิยะพร เรียนสุทธ์ สว.กก.4 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. ร่วมกันจับกุม นางสาวเบญจรงค์ฯ อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดอุทัยธานีที่ จ.171/2566 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดย หลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดภูเขียว ที่ 27/2567 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน โดยสามารถจับกุมได้ที่ บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ในพื้นที่ ม.11 ต.หนองไข่น้ำ อ.หนองแค จ.สระบุรี
สืบเนื่องจากช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2566 ได้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา โดยผู้เสียหายให้การว่า เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2565 ผู้ต้องหาได้โทรเข้ามา โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสรรพกรจังหวัดชัยภูมิ และแจ้งว่า ร้านค้าของผู้เสียหาย มีแอป (เป๋าตุง) อยู่ที่ไม่ได้ใช้งาน จะต้องถูกเก็บภาษีย้อนหลัง หากไม่อยากเสียภาษีย้อนหลัง ให้ผู้เสียหายปิดแอป (เป๋าตุง)
จากนั้นผู้ต้องหาได้แนะนำให้ผู้เสียหายแอดไลน์ ผู้เสียหายจึงได้แอดไลน์ พบว่ามีลิงก์ที่ปรากฏเป็นรูปภาพเว็บไซต์ของกรมสรรพกร จึงกดเข้าไปในลิงก์เพื่อเข้าไปตรวจสอบภาษีและกรอกข้อมูล จากนั้นหน้าจอโทรศัพท์ ปรากฏขึ้นเป็นสีฟ้า มีป้ายโชว์เป็นรูปโลโก้ของกรมสรรพกร และมีหมายเลขหกหลักพร้อมกับข้อความ ระบุว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ชื่อ นามสกุล ห้ามใช้งานโทรศัพท์
ระหว่างนั้นผู้ต้องหาได้ทำการแฮกข้อมูลในโทรศัพท์จนเสร็จเรียบร้อย หน้าจอมือถือจึงกลับมาใช้งานได้ตามปกติ หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ตรวจสอบเงินในแอปธนาคาร ปรากฏว่า เงินถูกโอนออกจากบัญชีของผู้เสียหายเกือบ 100,000 บาท เข้าไปยังบัญชี ของผู้ต้องหา ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามเอาเงินคืน และดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด
ต่อมา ช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2566 ได้มีผู้เสียหายคนที่สองเข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน สภ.ตลุกดู่ จ.อุทัยธานี โดยผู้เสียหายให้การว่า เมื่อช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ.2565 ผู้ต้องหาได้หลอกให้ผู้เสียหาย ทำการยกเลิกโครงการคนละครึ่งและให้โอนเงิน ประมาณ 220,000 บาท ไปยังบัญชีพร้อมเพย์ของผู้ต้องหา หลังจากนั้นผู้เสียหายรู้ว่า ตนโดนหลอก จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการสืบสวนจนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหา
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับได้ร่วมกันสนธิกำลังสืบสวนจนทราบว่า นางสาวเบญจรงค์ฯ ผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาลจังหวัดอุทัยธานี ได้หลบหนีมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงลงพื้นที่ตรวจสอบ พบนางสาวเบญจรงค์ฯ อยู่ที่บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ในพื้นที่ ม.11 ต.หนองไข่น้ำ อ.หนองแค จ.สระบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการจับกุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งแจ้งสิทธิ ให้ผู้ต้องหาทราบ และเชิญตัวมาทำบันทึกที่ สภ.หนองแค จ.สระบุรี จากนั้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ตลุกดู่ จ.อุทัยธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเองเคยไปสมัครแอปพลิเคชันเงินกู้ออนไลน์ และได้ส่งเอกสารส่วนตัวไปสมัคร จึงเชื่อว่าเอกสารของตนเองน่าจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน